เคมี ม.5


กรด - เบส   
       
          อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) หมายถึง สารที่เมื่อละลายในน้ำจะนำไฟฟ้าได้ เนื่องจากมีไอออนซึ่งอาจจะเป็นไอออนบวก หรือไอออนลบเคลื่อนที่อยู่ในสารละลาย สารละลายอิเล็กโทรไลต์นี้อาจเป็นสารละลายกรด เบส หรือเกลือก็ได้ ตัวอย่างเช่น สารละลายกรดเกลือ (HCl) สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และสารละลายของเกลือ KNO3 เป็นต้น โดยในสารละลายดังกล่าวประกอบด้วยไอออน H+ , Cl- ,OH- , K+ และ NO3- ตามลำดับ
          นอนอิเล็กโทรไลต์ (Non-electrolyte) หมายถึง สารที่ไม่สามารถนำไฟฟ้าได้เมื่อละลายน้ำ ทั้งนี้ เนื่องจาก สารพวกนอนอิเล็กโทรไลต์ จะไม่สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ เช่น น้ำบริสุทธิ์ น้ำตาล แอลกอฮอล์ เป็นต้น

          อิเล็กโทรไลต์แก่และอิเล็กโทรไลต์อ่อน
          สารละลายอิเล็กโทรไลต์ต่างๆ นำไฟฟ้าได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากการแตกตัวเป็นไอออนของอิเล็กโทรไลต์ไม่เท่ากัน อิเล็กโทรไลต์ที่แตกตัวเป็นไอออนได้มากกว่า ก็จะนำไฟฟ้าได้ดีกว่าอิเล็กโทรไลต์ที่แตกตัวเป็นไอออนได้น้อยกว่า อิเล็กโทรไลต์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
     1. อิเล็กโทรไลต์แก่ (strong electrolyte) หมายถึง สารที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวเป็นไอออนได้มาก อาจจะแตกตัวได้ 100% และนำไฟฟ้าได้ดีมาก เช่น กรดแก่ และเบสแก่ และเกลือส่วนใหญ่จะแตกตัวได้100% เป็นต้น เช่น H2SO4     HNO3    HCl   HBr  HClO4   NaOH   KOH  Ca(OH)2  Ba(OH)2
     2. อิเล็กโทรไลต์อ่อน (weak electrolyte) หมายถึง สารที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวได้บางส่วน นำไฟฟ้าได้น้อย  เช่น CH3COOH     H2CO3    HNO2    H2SO3   H2S  H2C2O4  H3BO3  HClO  NH4OH  HF
การทดสอบสมบัติอื่นๆ ของสารละลาย
1. การทดสอบความเป็นกรด-เบส จากการเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
        • ถ้าสารละลายเป็นกรด จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง
        • ถ้าสารละลายเป็นเบส จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน
        • ถ้าสารละลายเป็นเกลือ จะเปลี่ยนหรือ ไม่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสก็ได้
          นอกจากการใช้กระดาษลิตมัส อาจจะใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น เมทิลเรด ฟีนอล์ฟทาลีน ก็ได้
2. การทดสอบปฏิกิริยาของกรดและปฏิกิริยาของเบส

  • ปฏิกิริยาของกรด

ก. ทำปฏิกิริยากับโลหะ จะได้ก๊าซไฮโดรเจน เช่น
     HCl(aq) + Ca (s) → CaCl2 (aq) + H2 (g)
ข. ทำปฏิกิริยากับโลหะออกไซด์ ได้เกลือกับน้ำ
     2HCl (aq) + Na2O (s) → 2NaCl (aq) + H2O (l)
ค. ทำปฏิกิริยากับคาร์บอเนตได้ก๊าซ CO2 น้ำ และเกลือ
     2HCl (aq) + NaCO3 (aq) → 2NaCl + H2O + CO2
ง. ทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือกับน้ำ
    2HCl (aq) + NaOH (aq) → NaCl (aq) + H2O (l)
  • ปฏิกิริยาของเบส
ก. ทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด ให้ก๊าซไฮโดรเจน
     2NaOH (aq) + Zn (s) → Na2ZnO2 (aq) + H2 (g)
ข. ทำปฏิกิริยากับเกลือ ได้เป็นเกลือไฮดรอกไซด์ของโลหะที่ไม่ละลายน้ำ
     2NaOH (aq) + MnCl2 (aq) → Mn(OH)2 (s) + 2NaCl (aq)
ค. ทำปฏิกิริยากับเกลือแอมโมเนียม เช่น NH4Cl ได้ก๊าซ NH3 (g)
      NaOH (aq) + NH4Cl (aq) → NaCl (aq) + H2O (l) + NH3 (g)
ง. ทำปฏิกิริยากับกรดได้เกลือกับน้ำ
เรื่อง ทฤษฎีกรด-เบส
1. ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส
                  อาร์เรเนียส เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ได้ตั้งทฤษฎีกรด-เบส ในปี ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) อาร์เรเนียสศึกษาสารที่ละลายน้ำ (Aqueous solution) และการนำไฟฟ้าของสารละลายนั้น เขาพบว่าสารอิเล็กโทรไลต์จะแตกตัวเป็นไอออน เมื่อละลายอยู่ในน้ำ และให้นิยามกรดไว้ว่า
“กรด คือ สารที่เมื่อละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน” เช่น
          HCl (g)      →       H+ (aq) + Cl- (aq)
          CH3COOH (l)    →      H+ (aq) + CH3COO- (aq)
“เบสคือ สารที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออน” เช่น
         NaOH (s)  →   Na+ (aq) + OH- (aq)
         Ca(OH)2 (s)      →     Ca2+ (aq) + 2OH- (aq)
ข้อจำกัดของทฤษฎีกรด-เบส อาร์เรเนียส
         • ทฤษฎีกรด-เบส อาร์เรเนียส จะเน้นเฉพาะการแตกตัวในน้ำ ให้เป็น H+ และ OH- ไม่รวมถึงตัว   ทำละลายอื่นๆ ทำให้อธิบายความเป็นกรด-เบสได้จำกัด
        • สารที่จะเป็นกรดได้ต้องมี H+ อยู่ในโมเลกุล และสารที่จะเป็นเบสได้ก็ต้องมี OH- อยู่ในโมเลกุล

2. ทฤษฎีกรด-เบส ของเบรินสเตต-เลารี
           โจฮันส์ นิโคลัส เบรินสเตต นักเคมีชาวเดนมาร์ก และ โทมัส มาร์ติน ลาวรี นักเคมีชาวอังกฤษ ได้ศึกษาการให้และรับโปรตอนของสาร เพื่อใช้ในการอธิบายและจำแนกกรด-เบสได้กว้างขึ้น และได้ตั้งทฤษฎีกรด-เบสขึ้นในปี ค.ศ.1923 (พ.ศ.2466)
กรด คือ สารที่สามารถให้โปรตอนกับสารอื่นๆ ได้ (Proton donor)
เบส คือ สารที่สามารถรับโปรตอนจากสารอื่นได้ (Proton acceptor)
พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
1.
HCl เป็นสารที่ให้โปรตอน (H+) ดังนั้น HCl จึงเป็นกรด
H2O เป็นสารที่รับโปรตอน (H+) ดังนั้น H2O จึงเป็นเบส
2.

NH4+ เป็นสารที่ให้โปรตอน (H+) ดังนั้น NH4+ จึงเป็นกรด
H2O เป็นสารที่รับโปรตอน (H+) ดังนั้น H2O จึงเป็นเบส
3.

H2O เป็นสารที่ให้โปรตอน (H+) ดังนั้น H2O จึงเป็นกรด
NH3 เป็นสารที่รับโปรตอน (H+) ดังนั้น NH3 จึงเป็นเบส
จากปฏิกิริยาทั้ง 3 ปฏิกิริยา จะมีสารที่ให้และรับโปรตอนในแต่ละปฏิกิริยา และมี H3O+ และ OH- เกิดขึ้น แต่บางปฏิกิริยาอาจจะไม่มีสารทั้งสองชนิดนี้เลย ทฤษฎีนี้ก็ยังคงอธิบายได้ เช่น
4.

NH4+ เป็นกรด
NH2- เป็นเบส
ตัวอย่างอื่นๆ ได้แก่
5.

6.

7.

8.



ข้อจำกัดของทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตต-ลาวรี
ทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตต-ลาวรี ใช้อธิบายสมบัติของกรด-เบส ได้กว้างกว่าทฤษฎีของอาร์เรเนียส แต่ยังมีข้อจำกัดคือ สารที่จะทำหน้าที่เป็นกรดจะต้องมีโปรตอนอยู่ในสารนั้น

สารที่เป็นได้ทั้งกรดและเบส (Amphoteric)
สารบางตัวทำหน้าที่เป็นทั้งกรด เมื่อทำปฏิกิริยากับสารตัวหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบส เมื่อทำปฏิกิริยากับอีกสารหนึ่ง นั่นคือเป็นได้ทั้งกรดและเบส สารที่มีลักษณะนี้เรียกว่า สารเอมโพเทอริก(Amphoteric) เช่น H2O , HCO3- เป็นต้น
กรณีของ H2O
ในกรณีนี้ H2O เป็นกรดเมื่อทำปฏิกิริยากับ NH3 และเป็นเบสเมื่อทำปฏิกิริยากับ NH4+



 ในกรณีนี้ HCO3-

 ในกรณีนี้ HCO3-เป็นเบสเมื่อทำปฏิกิริยากับ HCl และเป็นกรดเมื่อทำปฏิกิริยากับ OH-
ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า สารที่เป็นเอมโฟเทอริก ถ้าทำปฏิกิริยากับสารที่ให้โปรตอนได้ดีกว่า ตัวมันเองจะรับโปรตอน (ทำหน้าที่เป็นเบส) แต่ถ้าไปทำปฏิกิริยากับสารที่ให้โปรตอนได้ไม่ดี ตัวมันเองจะเป็นตัวให้โปรตอนกับสารนั้น (ทำหน้าเป็นกรด)
3. ทฤษฎีกรด-เบสของลิวอีส   ในปี ค.ศ. 1923 (พ.ศ. 2466) ลิวอีสไดเสนอนิยามของกรดและเบสดังนี้
กรด คือ สารที่สามารถรับอิเล็กตรอนคู่ จากเบส แล้วเกิดพันธะโคเวเลนต์
เบส คือ สารที่สามารถให้อิเล็กตรอนคู่ในการเกิดพันธะโคเวเลนต์
ปฏิกิริยาระหว่างกรด-เบส ตามทฤษฎีนี้ อธิบายในเทอมที่มีการใช้อิเล็กตรอนคู่ร่วมกัน กรดรับอิเล็กตรอนเรียกว่าเป็น Electrophile และเบสให้อิเล็กตรอนเรียกว่าเป็น Nucleophile และตามทฤษฎีนี้สารที่เป็นเบสต้องมีอิเล็กตรอนคู่อิสระ เช่น





            ในกรณีนี้ NH3 เป็นเบส มีอิเล็กตรอนคู่ 1 คู่ จะให้อิเล็กตรอนคู่กับกรดในการเกิดพันธะโคเวเลนต์ และ BF3 รับอิเล็กตรอนจาก NH3 BF3 จึงเป็นกรด
             ทฤษฎีของลิวอิสนี้มีข้อดีคือ สามารถจำแนกกรด-เบส ที่ไม่มีทั้ง H หรือ OH- ในสารนั้น และแม้ว่าสารนั้นไม่ได้อยู่ในรูปสารละลาย แต่อยู่ในสถานะก๊าซก็สามารถใช้ทฤษฎีลิวอิสอธิบายความเป็น กรดเบสได้
ตัวอย่างอื่นๆ เช่น



ความแรงของกรดและเบส
การเปรียบเทียบความแรงของกรดและเบส อาจจะพิจารณาได้ดังนี้
1. ดูจากการแตกตัวของกรด
           กรดที่มีการแตกตัวมาก มีความเป็นกรดมาก กรดและเบสที่แตกตัวได้ 100% จะเรียกว่ากรดแก่ และเบสแก่ ตามลำดับ ซึ่งสามารถนำไฟฟ้าได้ดี แต่ถ้ากรดและเบสนั้นแตกตัวได้เพียงบางส่วนก็จะเรียกว่า กรดอ่อน หรือเบสอ่อน ตามลำดับ ซึ่งการนำไฟฟ้าจะไม่ดี
สำหรับการพิจารณาค่าการแตกตัวของกรดและเบสนั้น นอกจากจะคิดจากเปอร์เซ็นต์การแตกตัว หรืออาจจะดูได้จากค่าคงที่สมดุลของการแตกตัวของกรดหรือเบส (Ka  หรือ Kb ) เช่น
สารละลายกรด 4 ชนิด มีค่าคงที่ของการแตกตัวของกรดเป็นดังนี้
HClO2            K a = 1.1 x 10 -2
HF                   K a = 6.8 x 10 -4
CH3 COOH    K a = 1.8 x 10 -5
H2CO3             K a = 4.4 x 10 -7
ความแรงของกรดเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยตามค่า K a ได้ดังนี้
HClO2 > HF > CH3 COOH > H2 CO3
 ในทำนองเดียวกัน ความแรงของเบส ก็พิจารณาจากค่า K b กล่าวคือ ถ้ามีค่า K b มาก มีความเป็นเบสมากกว่า K b น้อย เช่น
NH3                 Kb = 1.76 x 10 -5
N2 H4              Kb = 9.5 x 10 -7
C6 H5 NH2      Kb = 4.3 x 10 -10
ความเป็นเบส NH3 > N2 H4  > C6 H5 NH2
2. ดูจากความสามารถในการให้และรับโปรตอน
กรดแก่ ได้แก่ กรดที่ให้โปรตอนได้มาก  กรดอ่อน ได้แก่ กรดที่ให้โปรตอนได้น้อย
เบสแก่ ได้แก่ เบสที่รับโปรตอนได้มาก  เบสอ่อน ได้แก่ เบสที่รับโปรตอนได้น้อย
 โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคู่กรด- เบส ดังนี้
·         ถ้ากรดเป็นกรดแก่ คู่เบสจะเป็นเบสอ่อน เช่น
HCl (aq) + H2 O ---> H3O + (aq) + Cl- (aq)
กรดแก่                                             เบสอ่อน
·         ถ้ากรดเป็นกรดอ่อน คู่เบสจะเป็นเบสแก่ เช่น
HS- (aq) + H2 O ---> H3 O+ +  S2-  (aq)
กรดอ่อน                                   เบสแก่
·         ถ้าเบสเป็นเบสแก่ คู่กรดจะเป็น กรดอ่อน เช่น
H3 O+  + S2-  (aq) ---> HS- (aq) + H2 O
เบสแก่                                           กรดอ่อน
·         ถ้าเบสเป็นเบสอ่อน คู่กรดจะเป็น กรดแก่ เช่น
Cl-  (aq) + H3 O+  ---> HCl + H2 O
เบสอ่อน                      กรดแก่
            ตารางลำดับความแรงของกรดและเบสตัวอย่างตามทฤษฎีของเบรินสเตต- ลาวรี
กรด
คู่เบส
กรดเปอร์คลอริก
กรดไฮโดรไอโอดิก
กรดไฮโดรโบรมิก
กรดไฮโดรคลอริก
กรดไนตริก
กรดซัลฟิวริก
ไฮโดรเนียมไอออน
ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน
กรดไนตรัส
กรดแอซิติก
กรดคาร์บอนิก
แอมโมเนียมไอออน
ไบคาร์บอเนตไอออน
น้ำ
เมทานอล
แอมโมเนีย
HClO4
HI
HBr
HCl
HNO3
H2SO4
H3O+
HSO4-
HNO2
CH3 COOH
H2CO3
NH4+
HCO3-
H2O
CH3 OH
NH3
เปอร์คลอเรตไอออน
ไอโอไดด์ไอออน
โบรไมด์ไอออน
คลอไรด์ไอออน
ไนเตรตไอออน
ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน
น้ำ
ซัลเฟตไอออน
ไนตรัสไอออน
แอซิเตตไอออน
ไบคาร์บอเนตไอออน
แอมโมเนีย
คาร์บอเนตไอออน
ไฮดรอกไซด์ไอออน
เมทออกไซด์ไอออน
เอไมด์ไอออน
ClO4-
I-
Br-
Cl-
NO3-
HSO4-
H2O
SO42-
NO2-
CH3COO-
HCO3-
NH3
CO32-
OH-
CH3 O-
NH2-
 3. ดูจากการเรียงลำดับในตารางธาตุ
การพิจารณาความแรงของกรดและเบสดูจากการเรียงลำดับของธาตุที่อยู่ในกรดนั้น ตามตารางธาตุ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
3.1  กรดไฮโดร (HX)
          ในหมู่เดียวกัน  เพิ่มจากบนลงล่าง ตามขนาดอะตอม ยิ่งมีขนดใหญ่ยิ่งเป็นกรดมาก (ตรงกันข้ามกับค่า EN)  เช่น 
ความแรงของกรด        H2O   <   H2S   <    H2Se   <  H2Te
ขนาดอะตอม               O   <      S      <    Se    <   Te
ในคาบเดียวกัน  เพิ่มจากซ้ายไปขวา ตามค่า EN (ตรงกันข้ามกับขนาดอะตอม)
ความแรงของกรด                    NH3     <   H20      <    HF
ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี้             N        <      O      <    F
ขนาดอะตอม                           N        >      O      >    F
3.2  กรดออกซี หมายถึง กรดที่ประกอบด้วย H, O และธาตุอื่นอีก   
3.2.1  ถ้าจำนวนอะตอมออกซิเจน และไฮโดเจนเท่ากัน ความแรงของกรดจะเพิ่มตามค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี้ของอะตอมกลาง เช่นเรียงลำดับดังนี้
ความแรงของกรด                    HOI    <   HOBr      <    HOF
ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี้             I          <      Br      <    F
3.2.2  กรดออกซีที่มีอะตอมกลางเป็นอะตอมชนิดเดียวกัน และจำนวนอะตอมของไฮโดเจนเท่ากัน ความแรงของกรดจะเพิ่มตามเลขออกซิเดชันของอะตอมกลางที่เพิ่มขึ้น (หรือจำนวน O )
ความแรงของกรด      HClO  <   HClO2  <    HClO3   <   HClO4
เลขออกซิเดชัน          +1            +3                  +5           +7

ไม่มีความคิดเห็น: